สวยสุดอลังการ ปราสาทหิน ดินแดนอีสาน
3 ปราสาทหินสุดยิ่งใหญ่ในแดนดินถิ่นอีสาน
อาณาจักรขอมเป็นอาณาจักรโบราณที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพล อารยธรรมขอมโบราณนั้นแผ่กว้างขวางไปในแถบอีสานใต้และแผ่ไปจนถึงแถบอีสานเหนือรวมถึงฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงของประเทศไทยแล้วยังปรากฏให้เห็นมาจนถึงปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นความเชื่อที่ยังสอดแทรกอยู่กับวัฒนธรรมของผู้คนในแถบอีสานใต้หรือแม้กระทั่งจนบรรดาปราสาทหินในแถบอีสานใต้ที่ถือเป็นอู่อารยธรรมของขอมที่สำคัญในประเทศไทย ทั้งยังมีสถานที่สำคัญต่างๆที่เป็นอารยธรรมของกระจายอยู่ภายในประเทศไทยให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและนี่คือ 3 ปราสาทหินในถิ่นอีสานที่ถือว่าเป็นที่สุดในประเทศไทยที่หลายๆคนรู้จักกันดีและยังมีมุมให้ค้นหา และเราควรภูมิใจที่ปราสาทหินที่งดงามที่สุดในประเทศไทยตั้งอยู่ในแผ่นดินอีสานของเรา
1.ปราสาทหินพนมรุ้ง (อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์)
“อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง” (ปราสาทหินพนมรุ้ง) ตั้งอยู่บนเขาพนมรุ้ง เป็นปราสาทที่ได้รับการยอมรับว่างดงามที่สุดในเมืองไทยปราสาทพนมรุ้ง เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ก่อสร้างอย่างสวยงามอลังการตามคติจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง มีการบูรณะก่อสร้างอย่างต่อเนื่องกันมาหลายสมัย ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 – 17 ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 18 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอมได้หันมานับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายาน เทวสถานแห่งนี้จึงได้รับการดัดแปลงเป็นพุทธศาสนสถานในช่วงนั้น
ความงดงามและเสน่ห์ของปราสาทพนมรุ้งนั้นมีมากมาย เริ่มตั้งแต่เส้นทางเดินสู่ปราสาทซึ่งเปรียบเสมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์และสรวงสวรรค์ ซึ่งทางขวามือก่อนเดินขึ้นบันได จะมี “พลับพลา” เป็นอาคารโถงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยอาคารนี้เดิมเรียกว่าโรงช้างเผือก สันนิษฐานว่าเป็นพลับพลาเปลื้องเครื่องสำหรับกษัตริย์หรือเจ้านายชั้นสูง ก่อนจะเข้าสู่ภายในปราสาทประธานที่อยู่บนเขา
ส่วนอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นไฮไลต์สำคัญเคียงคู่กับตัวปราสาทก็คือ ลวดลายสลักหินหรือภาพจำหลักหิน ที่ถือเป็นงานในระดับมาสเตอร์พีช ฝีมือประณีตงดงาม นำโดยภาพ “ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์” และภาพ “ศิวนาฏราช” ที่อยู่เคียงคู่กัน รวมถึงภาพลวดลายประกอบอื่นๆ และภาพอารมณ์ขันของช่างขอมโบราณที่ได้สลักแฝงไว้ตามแง่มุมต่างๆ
นอกจากความงดงามอลังการแล้ว ทุกๆ ปีปราสาทพนมรุ้งยังมีสิ่งอันน่ามหัศจรรย์ปรากฏขึ้นนั่นก็คือ ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ลอดช่องผ่านประตูทั้ง 15 ช่อง เป็นแนวเดียวกันได้อย่าง ปัจจุบันปรากฏการณ์พระอาทิตย์ขึ้น-ตก ลอดช่องประตูตรงกันทั้ง 15 ช่อง แต่ละปีจะเกิดขึ้นเพียง 4 ครั้งเท่านั้น คือ พระอาทิตย์ขึ้นลอดช่องประตู 2 ครั้ง ในช่วงวันที่ 3-5 เมษายน และ 9 -11 กันยายน พระอาทิตย์ตกลอดช่องประตู 2 ครั้ง ในช่วงวันที่ วันที่ 5-7 มีนาคม และ 6-8 ตุลาคม
เรื่องนี้มีข้อสันนิษฐานจากนักวิชาการว่า สถาปนิกขอมโบราณน่าจะเลือกสร้างปราสาทพนมรุ้ง โดยใช้แสงอาทิตย์ยามเช้ากำหนดทิศทางของปราสาทและแนวประตูทั้ง 15 ช่อง ซึ่งคาดว่าน่าจะตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์พอดี
แต่ต่อมาการหมุนของโลกเบี่ยงเบนไปเรื่อยๆ วันที่พระอาทิตย์ขึ้นส่องลอดทะลุประตูทั้ง 15 ช่อง จึงเลื่อนขึ้นมาปรากฏในช่วงต้นเดือนเมษายน ซึ่งทางจังหวัดบุรีรัมย์ได้กำหนดจัดงาน “ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง” อย่างยิ่งใหญ่ในทุกๆ ปี ณ อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง
2.ปราสาทหินเมืองต่ำ (อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์)
“ปราสาทเมืองต่ำ” ตั้งอยู่ห่างจากปราสาทพนมรุ้งมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 8 กิโลเมตร ปราสาทเมืองต่ำเป็นปราสาทหินศิลปะขอมแบบปาปวน สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16 – 18 (หรือประมาณ 1,000 ปีมาแล้ว) เพื่อเป็นเทวสถานของลัทธิฮินดูไศวนิกาย ที่นับถือพระศิวะ หรือ พระอิศวรเป็นเทพสูงสุด นับว่ามีอายุมากกว่าปราสาทหินพนมรุ้งและนครวัดประมาณ 100 ปี แต่มีอายุเท่าๆ กับปราสาทเขาพระวิหารเพราะสร้างในช่วงสมัยเดียวกัน ซึ่งตรงกับเวลาที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ครองราชย์อยู่ที่เมืองพระนครหลวง (เขมร) ในสมัยนั้น
ปราสาทเมืองต่ำแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็มีหลายสิ่งที่น่าสนใจ โดยแผนผังของปราสาทแห่งนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ล้อมรอบด้วยกำแพงมีความสูงเกือบ 3 เมตร ภายนอกปราสาทมีสระน้ำล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน เมื่อผ่านซุ้มประตูกำแพงแก้วเข้าไปจะพบกับระเบียงคดและซุ้มประตูอีกชั้นหนึ่ง ลักษณะเป็นปราสาทอิฐ 5 องค์ ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน องค์ปราสาทก่อด้วยอิฐเรียงเป็น 2 แถว แถวหน้า 3 องค์ และแถวหลังอีก 2 องค์ กลุ่มปราสาทอิฐทั้ง 5 องค์ แสดงสัญลักษณ์แทนเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
เมื่อเดินผ่านประตูนี้ไปก็จะพบกับ “บาราย” (สระน้ำ) ที่สร้างรายรอบตัวปราสาททั้ง 4 ด้าน เปรียบดังมหาสมุทรที่อยู่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ ที่มุมขอบสระสร้างเป็นรูปพญานาค 5 หัว กำลังชูคอแผ่พังพาน ด้านบนหัวพญานาคเรียบเกลี้ยงไม่มีรัศมีหรือเครื่องประดับใดๆ จนถูกเรียกเป็น “พญานาคหัวโล้น” ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของศิลปะขอมแบบบาปวนที่ยังคงเอกลักษณ์ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ภายในปราสาทเมืองต่ำยังมีภาพสลักหินบนทับหลังซุ้มประตูด้านตะวันออกรูป “พระอินทร์นั่งประทับบนตัวหน้ากาล” ท่ามกลางลวดลายประดับรอบๆ ที่ดูสวยงามลงตัว ซึ่งเชื่อว่าพระอินทร์จะช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้าสู่ภายในปราสาท ส่วนซุ้มประตูชั้นในมีซากของฐานบรรณาลัย ที่สันนิษฐานว่าสร้างไว้เพื่อเก็บคัมภีร์ โดยปัจจุบันเหลือเพียงส่วนฐานของอาคาร และยังมีลวดลายสลักต่างๆ อีกมากมายให้ได้ยลกันอย่างเพลิดเพลิน
3.ปราสาทหินพิมาย (อ.พิมาย จ.นครราชสีมา)
“อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย” (ปราสาทหินพิมาย) ถือว่าเป็นปราสาทหินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ลักษณะพิเศษของปราสาทหินพิมายคือ เป็นปราสาทที่หันหน้าไปทางทิศใต้ ต่างจากปราสาทหินอื่นที่จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ซึ่งสันนิษฐานว่าเพื่อให้หันรับกับเส้นทางที่ตัดมาจากเมืองยโศธรปุระ เมืองหลวงของอาณาจักรเขมร ที่เข้ามาสู่เมืองพิมายทางทิศใต้
ปราสาทหินพิมายสันนิษฐานว่าเริ่มสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ปลาย พ.ศ. 16 และต่อเติมในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ราวต้น พ.ศ. 18 ตัวปราสาทเป็นศิลปะแบบบาปวน (ยุคแรก) เจือปนนครวัด (ยุคต่อเติม) ปราสาทหินแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน เนื่องจากพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างและปรับปรุงต่อเติม ทรงนับถือพุทธศาสนา ลัทธิมหายาน ปราสาทหินพิมายถูกทิ้งร้างไปนานเนื่องจากเมืองพิมายหมดความสำคัญลง
จนกระทั่งมีการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และได้มีการบูรณะปราสาทหินพิมายครั้งใหญ่ ระหว่าง พ.ศ.2507-2512 โดยกรมศิลปากรร่วมกับรัฐบาลฝรั่งเศส ทำการบูรณะปราสาทประธานด้วยเทคนิค “อนัสติโลซีส” (ANASTYLOSIS) คือ การนำชิ้นส่วนต่างๆ ของตัวปราสาทประกอบเข้าด้วยกันตามหลักวิชาการและนำกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม รวมทั้งได้บูรณะโบราณสถานในเมืองพิมายอย่างต่อเนื่อง
ปราสาทแห่งนี้ มีสิ่งก่อสร้างเด่นๆ ชวนชม เริ่มจากทางเดินเข้าไป คือ สะพานนาคราช สะพานเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ตามคติจักรวาล สร้างเป็นรูปนาคราช 7 เศียรชูคอแผ่พังพานดูสวยงาม
ถัดเข้าไปเป็นซุ้มประตูหรือโคปุระชั้นนอกและกำแพงแก้ว จากนั้นเป็นชาลาทางเดินที่มองเห็นซุ้มประตูชั้นในสร้างรายรอบตัวปราสาท ซึ่งเมื่อผ่านพ้นโคปุระชั้นนี้เข้าไปจะพบกับความยิ่งใหญ่ของปรางค์ประธาน ที่ถูกขนาบข้างด้วย ปรางค์หินแดงและปรางค์พรหมทัตที่ภายในประดิษฐ์รูปเคารพของพระเจ้าชัยวันมันที่ 7 (ปัจจุบันคือองค์จำลอง องค์จริงถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิธฯภัณฑ์พิมาย) ซึ่งชาวบ้านในอดีตเชื่อว่านี่คือรูปปั้นของ“ท้าวพรหมทัต” ที่พวกเขานับถือ
สำหรับองค์ปรางค์ประธานนั้น สร้างขึ้นราว พ.ศ. 16-17 ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญคือเรือนธาตุและมณฑป มีลวดลายประดับตามส่วนต่างๆมากมายทั้งภายนอก ภายใน อาทิ ภาพศิวนาฏราช พระกฤษณะ ภาพเรื่องราวรามเกียรติ์ เรื่องราวทางพุทธศาสนา ส่วนภายในเรือนธาตุเป็นห้องครรภคฤหะ ที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปรางค์นาคปรก รูปเคารพสำคัญ(พุทธมหายาน) อีกทั้งยังมีร่องรอยท่อโสมสูตรที่ใช้ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาให้เห็นกันแบบพองาม นับได้ว่าความงามและเสน่ห์ของปราสาทขอมที่ได้เดินทางไปสัมผัสนั้น คือมรดกทางวัฒนธรรมสำคัญของบรรพบุรุษที่ตกทอดสืบต่อกันมา ด้วยเหตุนี้คนไทยจำเป็นต้องช่วยกันดูปกปักรักษาให้ยังคงอยู่สืบไป
นอกจากปราสาทหินทั้ง 3 ที่นี้ยังมีอีกหลายปราสาทที่อยู่ในประเทศไทยและยังคงความสวยงามไม่แพ้กัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถและสติปัญญาของผู้คนในอดีตที่ไม่มีแม้แต่เครื่องมืออำนวยความสะดวกแต่สามารถสร้างสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ได้ขนาดนี้ เราในฐานะของคนรุ่นหลังควรช่วยกันรักษาและอนุรักษ์ไว้เพื่อให้คนรุ่นถัดถัดไปได้มีสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ได้ศึกษาและเชยชม เพื่อเรียนรู้ความเป็นมาและรากเหง้าของตนได้คงอยู่สืบไป